
น้ำยาบ้วนปาก
การเลือกน้ำยาบ้วนปากที่เหมาะสม
สิ่งแรกที่ควรพิจารณาก็คือ ดูที่สารออกฤทธิ์ และส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ ซึ่งในปัจจุบันที่ขายๆ กันอยู่มักจะมีส่วนประกอบ และคุณสมบัติของสารระงับเชื้อหรือสารออกฤทธิ์อยู่ 3 ประเภทได้แก่
ประเภทแรก คลอเฮกซิดีน (Chlorhexidine) เป็นสารที่ช่วยลดการเกิดคราบไบโอฟิล์ม และเหงือกอักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ไม่แนะนำให้ใช้ทันทีหลังการแปรงฟัน และไม่ควรใช้ต่อเนื่องเกิน 2 สัปดาห์ เนื่องจากอาจเกิดคราบสีที่ฟันซึ่งไม่สามารถกำจัดด้วยการแปรงฟัน น้ำยาบ้วนปากประเภทนี้ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือทันตแพทย์เท่านั้น
ประเภทต่อมาคือ เซทิลไพริดิเนียมคลอไรด์ (Cetylpyridinium Chloride หรือ CPC) ช่วยลดการเกิดคราบไบโอฟิล์ม และเหงือกอักเสบได้ สามารถใช้ได้เป็นประจำทุกวัน แต่ CPC เป็นสารออกฤทธิ์ที่มีประจุ ดังนั้นควรใช้หลังการแปรงฟันอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงเพื่อให้ได้ประสิทธิผลสูงสุด และไม่ควรรับประทานอาหารหรือน้ำทันทีหลังบ้วน เพราะอาจทำให้เกิดการติดสีของอาหารที่ฟันได้ สารในกลุ่มนี้ยังมีการวิจัยทางคลินิกถึงประสิทธิผลในการลดคราบไบโอฟิล์ม และเหงือกอักเสบไม่มากนัก
และประเภทสุดท้าย น้ำมันสกัดจากสมุนไพรธรรมชาติ (Essential Oils) เป็นสารไม่มีประจุ และมีโมเลกุลขนาดเล็กซอกซอนได้ดี จึงช่วยลดการเกิดคราบไบโอฟิล์ม และเหงือกอักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถใช้ได้เป็นประจำทุกวัน โดยไม่ก่อให้เกิดคราบสีที่ฟัน มีงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ที่เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติอย่างมากมาย สามารถใช้ได้เป็นประจำทุกวัน โดยไม่ก่อให้เกิดคราบสีที่ฟัน น้ำยาบ้วนปากชนิดนี้จะมีรสชาติเฉพาะตัวจากสารสกัดธรรมชาติทำให้ขณะบ้วนจะรู้สึกเย็นสดชื่น
ดังนั้นถ้าต้องการ “น้ำยาบ้วนปาก” ที่ใช้ง่าย ปลอดภัยต่อการใช้เป็นประจำ มีประสิทธิภาพในการกำจัดแบคทีเรียอย่างได้ผล และไม่ทิ้งคราบสีไว้ที่ฟัน ก็ควรเลือก “น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของน้ำมันสกัดจากสมุนไพรธรรมชาติ” ให้เป็นตัวช่วยเพื่อสุขภาพช่องปากที่ดีของคุณ ๆ
